พ.ค. 02, 2025, 12:42 PM

ข่าว:

แหล่งรวมประสบการณ์เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของทุกคน


กระทู้ล่าสุด

หน้า 1 ... 5 6 7
61
ประสบการณ์จากผู้ขายครับ คาวตองแคปซูล ยูเอสเอส
    สำหรับผมเองเป็นคนแพ้แอร์ในห้องทำงาน พอนั้งออฟฟิศ
จะมีอาการเหมือนเป็นหวัด เป็นไอ ขึ้นมาทันที
แล้วก็จะป่วยบ่อยๆ เป็นหวัด ไอ แบบทรมานมาก
กว่าจะรักษาหายก็นานหลายวัน แล้วก็ป่วยแบบนี้บ่อยมากๆ
จนน่ารำคาญ เคยไอแบบไม่มีเหตุผล รักษาหลายเดือนจึงหาย
คือมีคำสั่งให้ไอทั้งวัน ปกติมีอาการไอ เราจะอมยา หรือว่าจิบน้ำอุ่น
จิบยาแก้ไอ หรือน้ำมะนาว ก็จะทุเลาหายไอ แต่การมีคำสั่งให้ไอ
เหมือนที่ผมเคยเจอคือทำอย่างไรก็ไม่ได้ผล ไอตลอด ไอจนปวดไปทั้งตัว
เมื่อหายก็เป็นใหม่ เดียวหวัด เดียวไอ เรื่อยไป
แต่พอได้ทานคาวตอง USS ไปได้ 2 - 3 เดือน อาการที่เคยแพ้เคยป่วยแบบนั้น
รู้สึกได้ว่ามันหายไป  ถึงจะโดนฝนเป็นหวัดเป็นไอบ้าง แต่ก็หายเร็วกว่าเมื่อก่อน
และอาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ ตามเนื้อตามตัวที่เราเคยรำคาญมันก็หายไป
    จึงได้แนะนำคนรู้จักต่อ แล้วภายหลังเลยต้องสั่งมาจำหน่าย
มีลูกค้าเป็นเบาหวานทานได้เดือนกว่าๆ บอกน้ำตาลลดลงเป็นปกติมาก
ลูกค้าเลือดจางธาลัสซีเมีย เกร็ดเลือดต่ำ ทานได้ 2 เดือน
หมอให้หยุดทานยาบำรุงเลือดบอกเลือดดีเป็นปกติขึ้นมาก
หูดหงอนไก่ ทานได้ 1 เดือนหาย แล้วก็เจอหลายๆ เคสผู้ป่วย
โดยเฉพาะแผลเบาหวานหายยาก แบบรักษาไม่ได้แล้ว
จะทำให้แผลแห้งเร็วมากจนหายเป็นปกติ
อีกอย่างคือ แบบข้อเสื่อมปวดข้อปวดเข่าใช้แล้วได้ผล
ที่สำคัญผู้ป่วยมะเร็งต้องใช้คาวตองช่วยเสริมการรักษาครับ

https://www.banplukao.com/uss.html
62
แผลของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจะหายช้ากว่าปกติ
ซึ่งถ้าดูแลไม่ดีจะทำให้เพิ่มโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน
เป็นเหตุให้ "แผลติดเชื้อ" เกิดแผลลุกลาม
อาจต้องตัดส่วนเนื้อตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้ง
สถิติการรักษาแผลนี้ เป็นการติดตามเก็บตัวอย่างของผู้ป่วย
โดยทีมงานวิจัยผู้ผลิตคาวตองแคปซูล เพื่อเป็นกรณีศึกษา

แผลเบาหวานผู้ป่วยอายุ 39 ปี


แผลเบาหวานเรื้อรังผู้ป่วยอายุ 51 ปี


แผลเบาหวานผู้ป่วยอายุ 55 ปี


แผลเบาหวานคุณยายผู้สูงอายุ


แผลเบาหวานผู้ป่วยอายุ 82 ปี


แผลเบาหวานผู้สูงอายุ


จากกรณีศึกษาพบว่าคาวตองแคปซูลสามารถช่วยให้แผล
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานหายได้เร็วขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าแผลผู้ป่วยบางท่าน
ไม่มีหลทางรักษาแล้วแต่คาวตองสามารถทำให้หายได้
63
พลูคาวฯ (หมักชีวภาพ ในสภาวะควบคุม / ส่วนผสมในยูเอสเอสแคปซูล)


1. พลูคาวฯ ผ่านกรรมวิธีหมักแบบชีวภาพในสภาวะควบคุมพิเศษ จะเกิดเภสัชสารที่มาจากธรรมชาติ
ไม่ใช่สารเคมีสังเคราะห์ และเกิดเภสัชสารระหว่างขบวนการหมัก(Intermediate substances)
มีประโยชน์ในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เช่นกลุ่มจุลินทรีย์กลุ่มโปรไบโอติก ที่ช่วยบำรุงสุขภาพองค์รวม
น้ำหมักชีวภาพของผักพลูคาว เมื่อนำไปทำให้แห้งโดยวิธีพิเศษ จะทำให้ได้สารสำคัญ
ที่เป็นสารสกัดจากผักพลูคาวและสารที่เกิดขึ้นในขบวนการหมักที่เป็นประโยชน์ค่อนข้างครบถ้วน
ตามความต้องการในการดูแลสุขภาพองค์รวม


2. ในทางวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ขบวนการสกัดที่ทำให้ได้สารที่ครบถ้วนที่สุด
รองมาจากขบวนการใช้คาร์บอนไดออกไซด์เหลว(Critical carbon dioxide extraction)
ก็คือ การหมักสกัดชีวภาพ ขบวนการหมักสกัดทางชีวภาพเป็นขบวนการสกัดสารจากพืชสมุนไพรได้เร็วที่สุด
เมื่อเทียบกับการสกัดทุกวิธีที่ทำแบบมาตรฐาน(Conventional Extraction) ในขณะที่เป็นวิธีที่ประหยัดที่สุดด้วย
แต่ความสำคัญของวิธีการหมักสกัด กลับเป็นเทคนิคและความชำนาญในขบวนการผลิตที่อาจประสบผลสำเร็จ
หรือแม้แต่ล้มเหลวและสูญเสียมหาศาลเพียงแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้นเอง


3. น้ำพลูคาวหมักชีวภาพฯดังกล่าวข้างต้น ปราศจากเชื้อก่อโรค เนื่องจากค่าความเป็นกรดต่ำกว่า 4.0
จึงยับยั้งจุลินทรีย์ที่ทำให้บูดเน่าและเชื้อก่อโรคได้ นอกจากนี้ในขบวนการหมัก
ยังเกิดสารคล้ายยาปฏิชีวนะที่เรียกว่า Bacteriocins ที่มีฤทธิ์ทำลายเชื้อก่อโรคได้ดี


4. ในเยอรมัน ประเทศที่สังเคราะห์แอสไพรินเป็นแห่งแรกในโลกเมื่อประมาณ 160 ปีที่แล้ว
ปัจจุบันกลับเป็นประเทศที่ใช้เทคโนโลยีการหมักกับพืชสมุนไพรแทบทุกชนิด
ส่งขายไปทั่วโลกนับมูลค่าหลายหมื่นล้านยูโรต่อปี


5. โรคเสื่อม(Degenerative Diseases)ต่างๆประมาณ 70 ชนิด กำลังเป็นปัญหากับวงการสาธารณสุขทั่วโลก
แต่กลับพบว่า พลูคาวฯกลับเป็นความหวังใหม่ที่ช่วยให้เรา เริ่มมองเห็นแสงสว่างในการดูแลโรคเสื่อมเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ป่วยที่มีประสบการณ์ในการใช้พลูคาวฯเช่นกลุ่มโรคเบาหวาน ร่วมกับแผลเท้าเบาหวานก็กลับมาเป็นปกติได้ในเวลาอันสั้น
นอกจากนี้ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ หอบหืด สะเก็ดเงิน รูมาตอยด์ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ แผลเรื้อรังฯ ก็ดีขึ้น
ภาพก่อนกินและหลังกินคาวตองฯ สามารถยืนยันได้ชัดเจน


6. พลูคาวฯใช้ในปริมาณน้อย ช่วยดูแลสุขภาพองค์รวม เมื่อใช้มากขึ้นกลับเป็นการช่วยเสริมพลัง
ในการรักษาตัวเอง (Healing Force) ของร่างกาย ให้โรคที่เป็นอยู่หายเร็วขึ้น อาจกล่าวว่า
พลูคาวฯใช้เป็นทั้ง Preventive vaccine และ Therapeutic vaccine ไปพร้อมๆกันได้
พลูคาวฯช่วยเปลี่ยนร่างกายเรา ให้เป็นเสมือนโรงงานผลิตยาที่มีชีวิต ให้เราได้มีใช้ตลอดไป


7. ในอนาคตอันใกล้นี้พลูคาวฯจะกลายเป็นสมุนไพรตัวเลือกลำดับต้นๆ สำหรับการแพทย์ทางเลือก
หรือใช้เป็นการแพทย์ทางเสริมสำหรับโรคสิ้นหวัง หรือในระยะสุดท้ายของโรคต่างๆ
กล่าวได้ว่าเราสามารถใช้ประโยชน์จากพลูคาวฯได้กับโรคแทบทุกชนิดทั้งโรคเสื่อมประมาณ 70 ชนิด
โรคติดเชื้อ รา แบคทีเรีย และไวรัส(ใช้พลูคาวเป็นสารตั้งต้นในขบวนการผลิตเพียงชนิดเดียว)


8. พลูคาวฯในรูปแบบของน้ำหมัก ใช้ในโรคของพืชได้ดีหลายชนิดที่เกิดโรคติดเชื้อจากรา
(เช่นโรคใบไหม้ข้าว-Rice blast) เชื้อแบคทีเรีย(เปลือกเน่าของต้นส้ม-phytopthora)
ไวรัส(ไวรัสในต้นเสาวรสหวาน) หรือเชื้อที่ไม่สามารถระบุชนิดได้
(โรคกรีนนิ่งในพืชตระกูลส้ม-bacterial-like organism) โรคจากเพลี้ยที่ทำลายใบพืชตระกูลปาล์ม(มะพร้าว)
พลูคาวตองฯเป็นสมุนไพรตัวเลือก สำหรับการเพิ่มภูมิคุ้มกัน ให้กับสัตว์และพืช พลูคาวฯเป็นสมุนไพรของไทย
ปลูกได้ดีในภูมิอากาศของทางภาคเหนือของประเทศไทย จึงไม่ทำให้เงินทองรั่วไหลออกนอก


9. พลูคาวฯเป็นหนึ่งในหลายๆวิธี ของการเพิ่มจำนวนสเต็มเซลล์ในร่างกาย ที่นักวิจัยทั่วโลกกำลังแสวงหา
เพื่อใช้แทนการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ สมัยใหม่ (Stem Cell Transplantation)ที่ซับซ้อน ยุ่งยาก มีความเสี่ยง
และต้นทุนสูง เป็นวิธีที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ปลอดภัย ได้ผลดีและประหยัด พลูคาวฯจึงช่วยป้องกันการล้มละลาย
ทางเศรษฐกิจของครอบครัวไทยจากค่ารักษาพยาบาลราคาแพงจากโรงพยาบาลในระบบทุนนิยม
พลูคาวฯเป็นสมุนไพร แถวหน้าของเภสัชศาสตร์สเต็มเซลล์ ศาสตร์แห่งการคิดค้นสูตรตำรับยา
ในระบบเภสัชศาสตร์ในอนาคต พลูคาวฯเป็นหนึ่งในวิธีการทำสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดในการแพทย์
สเต็มเซลล์(Stem Cell Medicine) คือ การกินเข้าไปช่วยพยุงระบบการทำงานของสเต็มเซลล์ของร่างกาย


10. การรักษาโรคของการแพทย์ในปัจจุบันส่วนใหญ่ เป็นการชดเชยการทำงานของร่างกายที่ขาดหรือเกินสมดุล
เป็นการรักษาแบบการแพทย์เฉพาะทาง(Specialist)ที่เข้มข้น เปรียบเหมือนเพ่งความสนใจไปที่ต้นไม้เพียงต้นเดียว
จึงมองไม่เห็นความสวยงามของป่าไม้เหมือนการใช้พลูคาวฯที่เป็นเหมือนศิลปในการพยุงระบบการทำงานของสเต็มเซลล์
ช่วยพยุงระบบการทำงานของสเต็มเซลล์ พร้อมๆกับเพิ่มปริมาณจำนวนสเต็มเซลล์ในร่างกายให้มากขึ้นด้วย
ซึ่งสเต็มเซลล์เป็นตัวรักษาสมดุลของร่างกาย โดยมีการแบ่งตัวใหม่(เกิด) ไปทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสลาย(แก่)
และถูกทำลาย(ตาย) ไปตลอดเวลา ดังนั้นหากสเต็มเซลล์ที่หมุนเวียนในกระแสเลือด ที่คอยเป็นหน่วยซ่อมแซม ฟื้นฟู
ให้แก่ร่างกายลดลง (จากจำนวนปกติ 10 ล้านเซลล์) การซ่อมแซม ฟื้นฟูส่วนที่สึกหรอ เสียหายไป ก็ทำไม่ทัน
หรือหากเกิดเหตุใหญ่เช่นเกิดบาดแผล การติดเชื้อ หรือร่างกายมีสารพิษ สิ่งแปลกปลอมที่ทำให้ร่างกายเกิดภาระงานมากขึ้น
พลังชีวิตของร่างกายที่ประกอบด้วยสเต็มเซลล์ก็ไม่สามารถแก้ไขหรือซ่อมแซมได้ทัน


11. มีคำกล่าวว่า "ทุกๆ 7 ปี คุณจะได้ร่างกายใหม่ทั้งหมด แทนร่างเดิม" หรือบางคำกล่าวบอกว่า
"ร่างกายสร้างแทนของเก่าทุกๆ 12 ปี" หรือประโยคคล้ายๆกันนี้ให้พบเห็นเสมอ
ยกตัวอย่างเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจจะสูญเสียไปประประมาณ 7 ล้านเซลล์
ดังนั้นเมื่อตอนคุณอายุ 40 ปี คุณก็จะสูญเสียกล้ามเนื้อหัวใจไปประมาณ 300 ล้านเซลล์
ดังนั้นอวัยวะสำคัญมากๆ คล้ายกับหัวใจ เช่น เซลล์สมองที่สูญเสียไปตลอดเวลาเมื่ออายุมากขึ้น
หากไม่ช่วยสร้างชดเชยอย่างสม่ำเสมอ สภาวะที่ก้ำกึ่งก่อนแสดงอาการป่วย
ก็จะมาถึงเร็วขึ้น แต่การใช้เทคนิคสร้างเซลล์ใหม่ที่ดีจะรักษาภาวะสมดุล
ไม่ให้ถึงภาวะเกิดโรคได้นานกว่าเดิมได้


12. ปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับสารพันธุกรรมในมนุษย์(Gene)
เรื่องจีโนม(Genome)และอีพิจีโนม(Epigenome) ได้สร้างองค์ความรู้ใหม่ให้เราไม่ต้องตกอยู่ภายใต้
กรอบแห่ง "กรรมพันธุ์" ที่เป็นเหมือนชะตาชีวิตหรือพรหมลิขิต อีกต่อไป เรารู้ว่า "ยีน"ของเราเอง "สร้างได้"
เราสร้างยีนที่ดีได้เอง โดยไม่ใช้เป็นการสร้างแบบผ่าเหล่า(Mutate) ก้อนของโครโมโซมในเซลล์เราทุกคน
มีสารพันธุกรรมที่อยู่เหนือขึ้นไปที่เรียกว่า Epigenome สามารถรับตัวกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง
ไปยังยีนหลายยีนจากจำนวนยีนทั้งหมด 23000 ยีนที่ทีอยู่ในสาย DNA ของเรา
ให้มีการเปลี่ยนแปลง-หรือปิดเปิดสวิทช์ แม้กระทั่ง หรี่สวิทช์ เพื่อส่งคำสั่งไปยังการสร้าง
หรือไม่สร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่มากมายในร่างกายเราได้ เป็นการเปลี่ยนที่เรียกว่า Gene alteration
ซึ่งช่วยให้โรคบางอย่างที่เราไม่เคยรักษาได้มาก่อน อยู่ในการควบคุมหรือหายไปได้ Epigenome
รับคำสั่งมาจากหลายปัจจัยเช่น เสียงพูด สารเคมี สารจากสมุนไพรที่เข้ากันได้เป็นต้น
จากข้อมูลเราพบว่าสารเควเซตินที่เป็นสารที่มีในพลูคาว ก็เกิด Gene alteration ได้เช่นกัน

https://www.banplukao.com/uss.html
64
สมุนไพรคาวตองที่สกัดโดยการใช้น้ำเลี้ยงเชื้อชนิดพิเศษกลุ่มแลคโตบาซิลลัส
ที่มีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันในคน และยีสต์ ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสเต็มเซลล์
จากไขกระดูกและสเต็มเซลล์ประจำถิ่นของอวัยวะต่างๆได้มากขึ้น
ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวมีคุณสมบัติกำจัดเชื้อก่อโรคได้ดีขึ้น
เหมือนที่เกิดขึ้นจากการวิจัยในหนูทดลอง ดังนั้นสมุนไพรคาวตองจึงเหมาะสำหรับ
ใช้เป็นการแพทย์ทางเสริมสำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
หรือต้องการใช้เป็นการแพทย์ทางเสริมในผู้ป่วยโรคเสื่อมต่าง ๆ
เช่น โรคเบาหวาน โรคภูมิแพ้ อาการวัยทอง ผิวหนังเหี่ยวย่นฯลฯ
หรือใช้เสริมการรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน ในโรคติดเชื้อต่างๆ
ช่วยลดระยะเวลาพักฟื้นได้เร็วขึ้นได้ ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ได้ตรวจสายพันธุ์ย่อยของจุลินทรีย์ แลคโตบาซิลลัส
สองสายพันธุ์ที่พบในน้ำหมักคาวตอง โดยตรวจการเรียงตัวของกรดอะมิโนในสาย DNA พบว่า
จุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสทั้งสองสายพันธุ์มีการจัดเรียงตัวที่แตกต่างไปจากจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสทั่วไป
มีการใช้แลคโตบาซิลลัสทั้งสองไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันในหนูทดลอง
พบว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในหนูทดลองได้ดี แม้ว่าจะใช้เซลล์ที่ตายแล้วของแลคโตบาซิลลัส
หรือ Polynucleotide จากจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส
ก็มีผลกระตุ้นภูมิคุ้มกันในหนูทดลองไม่ต่างกันดังตารางด้านล่าง
ในขบวนการหมักสกัดคาวตองฯที่ทำขึ้น เราพบยีสต์ชนิด Saccharomyces cerevisiae
จำนวนมากในใบคาวตอง โดยปกติ ผนังเซลล์ของยีสต์นี้จะประกอบด้วยสารเบต้ากลูแคน เป็นหลัก
สารเบต้ากลูแคนมีคุณสมบัติกระตุ้นไขกระดูกให้ผลิตสเต็มเซลล์ได้มากขึ้น
https://www.google.com/patents/US20070042930

สเต็มเซลล์เป็นหน่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์หรืออวัยวะต่าง ๆ
ที่เสียหาย ไม่ทำงาน ให้กลับมาเป็นปกติ
https://en.wikipedia.org/wiki/Degenerative_disease
65
พลูคาว คาวตอง ทำหน้าที่เหมือนกับ ย้อนสมการการเกิดโรคเบาหวาน
ของผู้ป่วยกลับไปสู่วันเวลาก่อนเป็นเบาหวาน แต่เป็นจุดเริ่มต้น
หรือเส้นสตาร์ทที่มีผู้ช่วยหรือหน่วยซ่อมแซม ฟื้นฟูภูมิต้านทาน
ที่ดีกว่าไม่เคยกินคาวตอง เช่น 20 ปีก่อนเขาไม่เป็นเบาหวาน
และร่างกายค่อยๆ พัฒนาเป็นเบาหวาน จนเมื่อครบ 20 ปี
ก็เป็นเบาหวานเต็มขั้น  เมื่อเราหมุนเวลาเริ่มต้นกลับไปที่ 20 ปีก่อน
ด้วยคาวตองฯ หมายความว่า หากเขามีวิถีชีวิตเหมือนเดิม
ประมาณ 20 ปีต่อจากนี้ เขาก็จะกลับเป็นเบาหวาน แต่ระยะเวลา
ไม่น่าจะนานขนาดนั้น น่าจะเร็วกว่า 20 ปี เนื่องจากจุดเริ่มต้น
มีปัจจัยความเสื่อมของร่างกายเป็นตัวเร่งด้วย แต่ก็มีภูมิคุ้มกันเป็นตัวช่วย
ไม่ให้ร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ ซึ่งก็น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการกินยารักษาตามอาการ
เหมือนวิธีการแพทย์แบบแผนในปัจจุบัน ที่ทำให้โรคเบาหวานกลายเป็นวิกฤติแห่งศตวรรษไปแล้ว
ประจักษ์พยานจริงจากองค์การอนามัยโลก คงไม่มีนักวิชาการคนไหนปฏิเสธได้
และต้องยอมรับว่า ต้องหาทางพัฒนาวิธีการรักษาที่ดีกว่า ใหม่กว่ามาทดแทนแบบเดิมให้ได้
66
มีหลายท่านสอบถามมา
เกี่ยวกับพลูคาว คาวตอง แคปซูล
ว่าเป็นแบบบดพง หรือว่าแบบสกัด
จริงๆ คือ..เป็นคำถามที่ตอบยากมาก
การผลิตสมุนไพรทั่วไปที่เราๆ เข้าใจกันคือ
1.นำสมุนไพรไป ตาก อบแห้ง
แล้วนำมาบดผสมกันใส่แคปซูลตามสูตร
2.คือนำสมุนไพรมาสกัดด้วยสารเคมีอะไรบางอย่าง
เพื่อให้ได้ตัวยาที่ต้องการแล้วนำมาใส่แคปซูล

แต่การผลิตพลูคาวของเรา
ไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่แบบนั้น
จะเป็นแบบนี้ครับ อธิบายพอคราวๆ
การผลิตพลูคาว คาวตองที่ใช้แล้วได้ผล
อธิบายได้ประมาณนี้ครับ
1.เพราะปลูกด้วยวิธีการปลอดสารเคมี
2.ควบคุมการเกิดโรคของพืชด้วยธรรมชาติ
3.การเตรียมวัตถุดิบต้องปลอดจากแบคทีเรียที่ก่อโรคได้
4.หมักสกัดด้วยน้ำในอุณหภูมิที่เหมาะสม
ใช้เวลาหมัก 3 เดือนเพื่อให้เกิดจุลินทรีย์ในสายพันธ์ที่ต้องการ
5.เกิดยิสที่ผนังเซลประกอบด้วย เบต้ากลูแคน
6.นำมาทำให้แห้งด้วยกรรมวิธีที่จะทำให้คุณสมบัติดังกล่าว
คงสภาพอยู่ได้นานถึง 3 ปี
7.บดเข้าผสมกับสมุนไพรที่สามารถเสริมฤทธิ์ให้ได้ผลมากขึ้น
8.นำเข้าแคปซูลด้วยวิธีการเฉพาะเพื่อคงสภาพยาวนาน
9.นำมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์

หมายเหตุ : กรรมวิธีการผลิตพลูคาวแคปซูล ดังกล่าว
จดสิทธิบัตรไทยของ เลขที่ 10481
โดย ภก.อุดม รินคำ เจ้าของ / ผู้ประดิษฐ์
67

คำเตือน น้ำมันซีบัคธอร์น 250 ไม่ใช่ยารักษาโรค
เป็นเพียงอาหารเสริมที่ดีที่รับประทานเข้าไปแล้ว
ช่วยเสริมสุขภาพให้ดีขึ้นเพียงเท่านั้น


แนะนำวิธีการรับประทานซีบัคธอร์น 250 เพื่อเสริมสุขภาพ
1.ระบบทางเดินหายใจ
ภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ หลอดลมอักเสบ ไอ หอบหืด ปอดติดเชื้อ ถุงลมโป่งพอง ปอดอักเสบ
รับประทานครั้งละ 3 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

2.ระบบทางเดินอาหาร
ริดสีดวงทวาร แผลในกระเพาะอาหาร แผลในลำใส้ กระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรงและภาวะอาหารไม่ย่อย
รับประทานครั้งละ 3 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

3.ระบบประสาท
ภาวะมึนงง ความดันโลหิตต่ำ ปวดศรีษะรุนแรง ตามแนวเส้นประสาท Schiatica อาการนอนไม่หลับ
รับประทานครั้งละ 3 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

4.โรคไขข้ออักเสบ
ปวดบริเวณข้อต่อ ข้อต่อบวม ปวดคอ และกระดูกสันหลัง
รับประทานครั้งละ 3 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

5.โรคประสาทสัมผัสทั้ง 5
เยื่อหุ้มตาขาวอักเสบ กระจกตาอักเสบ ตาแดง ยื่อแก้วหูอักเสบ คออักเสบ เยื่อบุช่องปากอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ
รับประทานครั้งละ 3 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

6.บำรุงตับ
ตับโต ตับแข็ง ตับอักเสบ
รับประทานครั้งละ 3 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

7.การพักฟื้นหลังผ่าตัด
เจ็บแผล แผลหายช้า เบื่ออาหาร ภาวะเชื่องซึม
รับประทานครั้งละ 3 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

8.โรคผิวหนัง
สิว จุดด่างดำ ฝ้า กระ ผื่นคัน หัด โรคเรื้อนกวาง เหน็บชา ผิวหนังเหี่ยวย่น ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง
รับประทานครั้งละ 3 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

9.ภูมิคุ้มกันเสื่อมลง
มีแนวโน้มป่วยบ่อย ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ
รับประทานครั้งละ 3 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

10.โรคเกี่ยวกับสตรี
ปวดประจำเดือน อาการปวดภาวะหมดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ แผลบริเวณปากมดลูก อาการคันบริเวณปากมดลูก เต้านมอักเสบ
รับประทานครั้งละ 3 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

11.โรคเกี่ยวกับเด็ก
ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ไอคิวต่ำ ภาวะขาดสารอาหาร เบื่ออาหาร ความผิดปกติทางร่างกาย สุขภาพไม่แข็งแรง การเจริญเติบโตช้า เตี้ย
รับประทานครั้งละ 3 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

12.บาดแผล
แผลไฟไหม้ แผลกดทับ แผลจากของมีคม แผลฉกรรจ์จากความเย็นจัด
รับประทานครั้งละ 3 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

13.ปกป้องและต่อต้านรังสี
ได้รับรังสีจากการใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ความสามารถในการมองเห็นลดลง การได้ยินเสื่อมลง เหนื่อยง่ายรู้สึกไม่สบายตัว อาการปวดศีรษะ
รับประทานครั้งละ 3 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

14.โรคภาวะกึ่งสุขภาพดี
นอนไม่หลับ ง่วงซึม ฝันบ่อย เหนื่อยง่าย ขี้ลืม แขนขาอ่อนแรง ปวดบริเวณหลังและไหล่ สมาธิสั้น และมีอาการมึนงง
รับประทานครั้งละ 3 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

15.หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง
ภาวะหัวใจล้มเหลว ไขมันอุดตันในเส้นเลือด ความดันโลหิตสูง เลือดคลั่งในสมอง
รับประทานครั้งละ 4 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

16.โรคจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกายไม่ปกติ
โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ภาวะน้ำหนักมากกว่าปกติ
รับประทานครั้งละ 4 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

17.ระบบทางเดินปัสสาวะ
ไตอักเสบ ไตวาย การทำงานผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ ต่อมลูกหมากอักเสบ ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
รับประทานครั้งละ 4 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

18.ระบบหมุนเวียนโลหิต
โรคโลหิตจาง การลดลงของการเกาะตัวในเกล็ดเลือด
รับประทานครั้งละ 5 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

19.มะเร็ง
มะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งในหลอดอาหาร มะเร็งในปอด มะเร็งในตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งมดลูก
รับประทานครั้งละ 5 ซอฟเจลแคปซูล
วันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ก่อนหรือหลังอาหาร

ต้องการสั่งซื้อซีบัคธอร์น 250 กรุณาคลิ๊กไปตามลิ้งค์ด้านล่างนี้
https://www.banplukao.com/seabuckthorn.html
68
แชร์ประสบการณ์ติดโควิด รักษาเอง กินยาจนหายเอง

เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2564 ผมมีอาการคือ...
รู้สึกว่าเจ็บคอนิดหน่อย มีอาการเจ็บคออยู่ลึกๆ เหมือนจะเป็นหวัด
ช่วงนี้คือโควิด ระบาดแรงมาก ยอดผู้ติดเชื้อรายวัน 2 หมื่นกว่าราย
ในใจสงสัยไว้เลยว่าโควิดมันจะต้องมาแน่
ไปร้านขายยา บอกอาการ ร้านขายยาก็แนะนำว่า
เอายาแบบดีไปทานกันโควิดไว้เลย ช่วงนี้ไปโรงบาลไม่ได้หรอก
เต็มทุกโรงบาลแค่ไปตรวจเฉยๆ ยังไม่ถึงคิวเลยในแต่ละวัน
เอาแบบดีเลยจัดมาเลย
1.ยาแก้ไข้หวัด
2.ยาฆ่าเชื้อแก้อักเสบ
3.ยาแก้ไอ
4.ยาละลายเสมหะ

กลับบ้านมาก็ทานยาปกติ สั่งชุดตรวจ ATK มาไว้
ในตอนนั้นราคา 350 บาท มีคนเอามาขายให้
อาการที่ผมเป็นคือไม่มีไข้ เจ็บคอแรงขึ้นเรื่อยๆ
ถึงจะทานยาที่ร้านขายยาให้มาอย่างเต็มที่
อาการก็ไม่ดีขึ้น มีเสมหะมากขึ้น ไอเพิ่มขึ้น
ผ่านไป 2-3 วัน คนในบ้านซื้อกุ้งเผามากิน
ปกติผมจำได้ถ้ากินกุ้งกันแบบนี้ กลิ่นมันจะต้องพุ่งไปทั่วบ้าน
แต่วันนั้นผมไม่ได้กลิ่นกุ้งเลย ในใจคิดว่าโควิดมันมาแล้ว
ขึ้นมาบนบ้านลองฉีกสเปรย์น้ำหอมดับกลิ่น
ปกติกลิ่นมันจะแรงมากแต่ตอนนี้ไม่ได้กลิ่นเลย
แน่นอนไม่ต้องตรวจแล้วผมติดโควิด
บอกคนในบ้านให้ออกห่าง ผมแยกห้องอยู่คนเดียว

ให้ญาติไปซื้อกระทรายกับมะนาวที่ตลาดมาให้
แล้วสั่งคาวตองแคปซูล กับฟ้าทะลายโจร มาไว้ทาน
คือหาข้อมูลใครว่าอะไรก็สั่งซื้อมาไว้เลย

อาการที่น่าเป็นห่วงคืออาการไอต้องทำทุกวิถีทาง
ให้อาการไอมันหายดื่มน้ำร้อนตลอด
มะนาว 1 ลูก ใส่น้ำอุ่น 1 แก้ว
กินได้ 2 ครั้ง อาการไอจะลดลง
มะนาวใส่กับน้ำอุ่น รสชาดมันจะออกเค็มๆ
ไม่มีรสเปรี่ยวเลย มะนาวจะไม่มีกลิ่นเลยโควิดนี้มันแสบจริงๆ

กระทรายครึ่งกิโลผมแบ่งปั่น 2 ครั้ง ช่วงนี้กระทรายกิโลละ 180 บาท
ปั่นใส่มะนาว 7 ลูก ช่วงนี้มะนาวถูกมาก
ปั่นแล้วไม่กรองผมเอามากินทั้งหมดเลย กากกระทรายกลืนไม่ลง
ก็ดูดๆ เคี้ยวๆ แล้วคายทิ้ง ในเรื่องของกระทรายพอผ่านไป 3-4 วัน
พอเราได้กลิ่นได้รสโอ้พระเจ้าน้ำยาขนมจีนดีๆ นี่เองกินไม่ลงเลย
เมื่อรับรู้แล้วกรองเอาแต่น้ำก็กินยากครับ
การกินกระทรายผมรู้สึกว่ากินแล้วมันจะระคายเคืองในคอ
ทำให้อยากจะไอ แต่ก็ต้องกินเพราะกลัวโควิดจะลงปอด

ฟ้าทะลายโจรผมทานครั้งละ 4 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร
คาวตองแคปซูลครั้งละ 2 เม็ด เช้า - เย็น ก่อนอาหาร
คือผมทานยาที่เอามาจากร้านขายยา 3 - 4 วันแล้ว
อาหารไม่ดีขึ้นเลย พอได้ฟ้าทะลายโจรกับคาวตองมา
ผมทาน 2 อย่างนี้เสริมกับยาที่ทานอยู่ปกติ
ผ่านไป 2 วัน ตื่นเช้ามาก ไอแรงๆ เสบหะออกมาเป็นก้อนดำๆ
ตกใจเหมือนกันว่าจะเป็นหนักกว่าเดิมหรืออย่างไร
จะเตรียมหาโรงพยาบาล แต่ว่าอาการเจ็บคอมันหายไป
ก็เลยสบายใจขึ้น พอวันต่อมาตื่นมาไอออกมาเป็นก้อนดำๆ อีกครั้ง
แต่อาการเจ็บคอหายไปเลย ก็เลยคิดว่าสงสัยสมุนไพรมันขับออกมา

ทานฟ้าทะลายโจรกับคาวตองได้ 4 วัน การรับรสกลับมาเป็นปกติ
แต่ว่ายังไม่ได้กลิ่นอะไรเลย มะนาวไม่ได้กลิ่นเลย ข้างบ้านปลูกกระเพราไว้เยอะมาก
ผมจะเด็ดมาดมทุกวันไม่มีกลิ่นอะไรเลย สบู่หอม ยาสระผมไม่ได้กลิ่นเลย
แอลกอฮอล์ดมดูรู้ว่าเป็นแอลกอฮอล์แต่ไม่มีกลิ่น แต่ไอที่ระเหยทำให้รู้
ปัญหาการไม่ได้กลิ่นคือเราจะไม่รู้เลยว่าอะไรบูดอะไรเสียอะไรเน่า
มาถึงวันนี้รู้เลยจมูกทำหน้าที่หลายอย่างมาก อะไรร้อน อะไรเย็น จมูกรู้
อะไรบูด อะไรเน่า อะไรเสีย จมูกรู้ เรื่องเหล่านี้ถ้าไม่มีจมูกเราจะไม่รู้เลย
ไอระเหยที่เป็นอันตรายจมูกรู้ การเป็นโควิคมันทำให้เราแยกกลิ่นกับความรู้สึกได้เป็นอย่างดี
ดมยาดมจะรู้สึกว่าเย็นน้ำมันหอมระเหย แต่ไม่มีกลิ่นใดๆ ดมยังไงก็ไม่พีดขึ้นจมูก

สิ่งที่ผมกังวลตอนนี้คือทำอย่างไรการรับรู้กลิ่นจะกลับคืนมา
ผมจำได้ว่าตอนเด็กลุงชอบเอาหอบแดงกับกระเทียมมากินกับข้าว
บอกว่ามันช่วยแก้หวัด แล้วผมก็ลองกินตามแล้วมันก็พีดขึ้นจมูก
ก็จัดเลยหั่นหอมแดงปลอกกระเทียม ใส่ข้าวสวยใส่พริกบ่นใส่น้ำปลา
กินเลยมันพีดขึ้นจมูกจริงๆ น้ำตาไหลเลย วันต่อมาผมก็รู้สึกว่าได้กลิ่นใบกระเพราะนิดๆ
ดมมะนาวดูไม่มีกลิ่นเหมือนเดิม มะนาวได้กลิ่นยากมาก ขึ้นมาอาบน้ำใช้ครีมอาบน้ำแบบหอมแรงๆ เลย
รู้สึกว่าได้กลิ่นน้ำหอมมาหน่อยๆ หลังจากนั้นกินหอมแดงกับกระเทียมกับข้ามทุกมื้อ
ประมาณ 4 - 5 วันการรับรู้กลิ่น กลับมา

สรุปว่าเป็นโควิดครั้งนี้หายเพราะอะไรไม่รู้เลยกินหลายอย่างมาก
1.ยาฆ่าเชื้อแก้อักเสบ แก้หวัด แก้ไข ละลายเสมหะ กินจนยาหมดน่าจะ 7 วัน
2.เป็นมา 3-4 วัน ทานฟ้าทะลายโจร ทานต่อเนื่อง 5 วัน แล้วหยุด
3.คาวตองแคปซูล ทานต่อเนื่องตลอด เช้า เย็น ก่อนอาหาร
4.น้ำกระทราย ใส่มะนาว ปั่นไว้เลยทานทุกวัน
5.น้ำร้อน น้ำมะนาว เมื่อรู้สึกว่าจะไอ ดื่มเลย ดื่มจนเหนื่อย
เดี๋ยวก็น้ำร้อน เดี๋ยวก็น้ำมะนาว ทั้งวันทั้งคืน ดื่มจนเหนื่อยเลยอันนี้
6.หอมแดงกระเทียม ทานอยู่ 5-6 วัน ตอนนี้ก็ยังเอามากินเรื่อยๆ

สรุปอาการ
เจ็บคอประมาณ 1-7 วัน ไอหนักๆ ประมาณ 4-5 วัน หลังจากนั้นจะลด
ผ่านไป 10 วัน การรับรู้รสกลับมา การรับรู้กลิ่นจะมาทีหลัง

สังเกตุอาการ :
เรื่องรสชาดผมสั่งเกตจากน้ำมะนาวจะมีรสแปลกๆ เค็มๆ ทั้งที่ไม่ได้ใส่เกลือ
ถ้าน้ำมะนาวมีรสเป็นปกติ แสดงว่าอาการกลับมาเป็นปกติแล้ว
เรื่องกลิ่นก็เช่นกัน จะกลับมาทีหลังเลยได้กลิ่นทุกอย่างแล้ว
ดมลูกมะนาวดูก็ยังไม่ได้กลิ่น แสดงว่ากลิ่นมะนาวอ่อนมากถ้าได้กลิ่นมะนาว
ก็แสดงว่าจมูกกลับมาได้กลิ่นเป็นปกติ

มีความรู้สึกว่ากินหอมแดงกับกระเทียม ทำให้จมูกรับรู้กลิ่นได้เร็วขึ้น

มีคำถามว่าทำไมไม่ไปโรงพยาบาล คือช่วงนั้นโรงพยาบาลเต็มหมด
จริงๆ ผมมีประกันโดวิด แต่ถ้าอาการไม่หนักจริงๆ คิดว่าจะไม่เข้าโรงพยาบาล

อันนี้เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนตัวที่นำมาเล่าสู่กันฟัง
เผื่อว่าบางทีจะเป็นประโยชน์ ขอบคุณครับ
หน้า 1 ... 5 6 7